ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผีนั่งรถสมัยสงครามโลก ..วิธีไปเที่ยวนรก(ของลุงสุข)


..เหตุเกิดที่
.ณ..สำนักสงฆ์วัดป่าช้าเมตตาธรรม ....
... ต.เมืองโดน อ.ประทาย  จ.นครราชสีมา...
สถานที่แห่งนี้..เป็นป่าช้าเก่าโบราณ..ที่มีพวกต้นประดู่..และไม้อื่นๆ..เกิดขึ้นปกคลุม...เต็มผืนป่า..เสนาสนะความเป็นอยู่ของพระสงฆ์..ในครั้งนั้น..ปลูกเป็นกุฎีเล็กๆ..ในรอบนอก...แต่ในป่าช้านั้นให้พระภิกษุเลือกที่สัปปายะ..เอาเอง..ว่าตนเองชอบที่ร่มรื่น..ของต้นไม้ต้นไหน..ก็ให้ปักกลด..ใต้ต้นไม้นั้น....

แต่...
การมาอยู่ปริวาสนี้..ผู้มาอยู่จะต้อง..ไปแสดงการขออยู่ปริวาส..ที่พระอุโบสถ..ของวัดอื่น..ซึ่งจะมีพระเถระกล่าว..คำรับรองการอยู่อาศัยเป็นประโยคแห่งคาถา..ดูไปก็เหมือนการไปสวดญัตติเป็นสงฆ์..แต่แท้จริงเป็นการปลงอาบัติ..ให้บริสุทธิ์



.
การปฏิบัติกรรมฐาน..อบรมตามรอยธรรมของ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ..คือกรรมฐาน...40 กอง...
..
มีตารางปฏิบัติธรรม..ตั้งแต่ตี 5.00 เช้า กลางวัน พลบค่ำ และตอนค่ำ

วันที่เกิดเหตุมีบ่ายวันหนึ่ง...แดดค่อนข้างร้อน..ช่วงก่อนพลบค่ำ ราวๆ บ่าย 3-บ่าย4 โมง เย็นนี้แหละ
ซึ่งแดดก็ยังครุกกรุ่น...
แต่สำหรับพระที่ท่านมีวิธีพื้นบ้าน..ทำงานกลางแจ้งซึ่งเป็นชาวไร่ชาวสวนเสียส่วนใหญ่..ท่านก็ถือว่าแดดร่มลมตกแล้ว..
ด้วยเหตุนี้..ผู้เป็นอาจารย์กรรมฐาน...
จึงให้ตั้งแถวเดินจงกรม...
คือให้เดิน..ตามคันนา...
แต่เกล้าฯไม่คุ้นชินความร้อน...จึงตั้งสติ..ว่าแดดนี้ร้อนมาก..ถ้าส่งจิตออกนอก..สงสัยเราจะไม่รอด..จึงทำจิตให้มีที่อยู่อาศัย..คือพิจารณากาย..ไม่ส่งจิตออกนอก..

พิจารณาอยู่ที่กาย...ตั้งแต่ผม..ขน เล็บ ฟัน หนัง แยกออก อยู่คนละส่วน จนเป็น ศพ เน่า เนื้อหลุดออก เหลือแต่กระดูก และเหลือแต่ความว่างเปล่า
....คือที่นั้นใช้เสียงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ..เปิดผ่านเครื่องขยาย..เพื่อให้ทุกคนรู้การวางจิต..คือให้พิจารณากาย...อันเป็นอสุภะกัมมัฏฐาน...
คือเอาความน่ารังเกียจ.ของกาย..เป็นที่ตั้งของ..สติ..

วันนั้น..ตั้งแต่บ่าย..ถึงตะวันตกดิน...เกล้าฯก็พอใจ..ที่จะระลึกถึงอสุภะ..ไม่ว่างเว้น..จนทำวัตรเย็น..และแยกตัวจากหมู่คณะ...
..
จึงมาทำความเพียรในกลด....ขณะที่กล่าว..คำบริกรรม..ว่า..
เกสา  เกสา  เกสา...ยังไม่ได้ใช้สติ..พิจารณาว่า..เส้นผมของเรานี้.ที่เห็นสวยงาม..แต่ถ้าหาก..มีสักสองสามเส้น..
หล่นไปในอาหาร..ขณะที่เราดื่มกิน..จะรู้สึกเช่นไร..
...
ปรากฎว่า..ด้วยอานิสงค์ของการ..ไม่ส่งจิตออกนอก..
พอบริกรรมคำว่า เกสา เท่านั้นแหละ  ไม่สามารถกล่าว คำอื่นได้เลย..เหมือนดวงจิตถูกอำนาจแห่งสมาธิ..หมุนลงไปยัง..ฐานแห่งสมาธิ...คือกล่าวได้แค่ เกสา เกสา เกสา กล่าวได้แค่นี้อยากจะกล่าวคำอื่นก็กล่าวไม่ได้.ขณะที่จิตกำลังจะดับ..เหมือนตัวเรากำลังหมุนวนจะจมลงดินไปเรื่อยๆ..แล้วดับพรึบ..


...ก่อนจะดับพรึบ..คล้ายจิตมันหมุนไปสู่ความ
สงบเอง..ทั้งที่..ตามจริง..เราไม่อยากให้เป็น..
..
การดับเหมือนใครคนหนึ่งมาปิดสวิชท์ไฟฟ้า...แต่ดับเฉพาะภายในไปรับรู้ภายข้างนอก..สภาพป่าช้าที่ตนเองอาศัยอยู่ทั้งหมด..ต้นไม้ สภาพป่า..มองเห็นสว่างเหมือนตอนเช้าตรู่..หรือคืนวันเพ็ญ..ที่พระจันทร์สามารถส่องถึงพื้นเหมือนตอนกลางวัน..
แต่แท้จริงแล้ว...คืนนั้นเป็นคืนฟ้ามืดสนิท..มองไม่เห็นแม้ลายนิ้วมือ....


แต่จิตข้างในมองเห็นสิ่งภายนอก...สว่างไปทั่งป่าช้า..มองเห็นสภาพของป่าช้า..ในเวลากลางคืน..เหมือนตอนรุ่งสาง....
และขณะที่กำลังชมความงามงาม...ของป่าช้า...

ได้เห็นรถ.โบราณสมัยสงครามโลก..หรือสมัยไหนไม่รู้แต่รถมันเก่าครำคร่ามาก.วิ่งเข้ามาจอด.
ที่โรงครัว..ของวัด...

และคนนั่งในรถมากัน 5.คนใส่ชุดขาว.ทั้งหมด.เป็นผีที่รักษาศีล 8...สักพัก.คนกลุ่มนั้นได้ลงจากรถ.และขนของ..ลงจากรถด้วย..ซึ่งสิ่งของที่นำไปเก็บไว้ที่โรงครัว..นั้นก็เพื่อเขาจะได้ประกอบอาหารเลี้ยงพระที่มาปฏิบัติธรรม..เป็นความเข้าใจของพวกเขาว่าจะได้บุญเหมือนมนุษย์ทำ
..
ด้วยความอยากจะรู้ว่า..ผีเหล่านี้หน้าตาจะเป็นอย่างไร......พลันปรากฎใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง...ซึ่งเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี.ของคน(ผี)ในกลุ่มนั้นปรากฎขึ้นที่ใกล้ตาตัวเอง..เหมือนเราซูมกล้องส่องท่างไกลให้มาอยู่ที่ใกล้ตา..เป็นชายตัดผมรองทรงอายุน่าจะไม่เกิน 39 ปี.แต่ยิ่งจ้องมองใบหน้าของเขาเท่าใด..ก็ยิ่งสงสัย..ในความเป็นไปของเขา..คือมันมืดสนิท

ยิ่งมอง..เข้าไปลึกเท่าใด..
ก็ไม่เห็นดวงตา...ทั้งสองข้าง..คือมันกลวงโบ๋.ก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นผีตาโบ๋รู้แต่ว่า...เอ๋..ทำไมพี่ชายท่านนี้ไม่มีดวงตาหนอ....ตอนนั้น ก็ไม่รู้หรอกว่า เป็นผีตาโบ๋
ด้วยความสงสัย...ภาพนั้นก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ..
เหมือนกับ..หน้าเรากับหน้าเขาจะประชิดกันอยู่แล้ว...ได้แต่สงสัยว่าเขาจะรู้ไหมหนอว่าเราแอบดูการกระทำของเขา...แต่ก็ดูได้ไม่นาน
...
...ขณะที่กำลังจดจ้องสักพัก..ทันใด.นั้น.เกิดเสียงดัง..แป๊ก!!! .มากระทบหู...ที่ข้างมุ้งกลด..สมาธิเกล้าฯ..ก็เลยถอนทันใด...พอจิตถอน..ภาพยนต์ทางจิตที่ถูกฉาย..ผ่านสายตา..ก็ดับวูบด้วย...
..
ก็ได้แต่อุทาน..ด้วยความตื่นเต้น..ว่า..นี้หรือที่เขาเรียกนั่งทางใน(ทิพยจักขุ).
.ก็เลยไปกล่าวบอก..ผู้มาเดินผ่านกลดและเหยียบ..กิ้งแห้งไม้..ว่า..

"อาจารย์บ่น่ามาเหยียบ..กิ้งไม้เลยขะหน่อย..ผูข้ากำลังเบิ่งผีอยู่)
..
ผู้มาเหยียบ..เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองกอก...ซึ่งเป็นอาจารย์ของเกล้ากระผมคืออาจารย์ สงัด แพทย์รัม (สุภัทโท)ตั้งแต่เป็นสามเณร..ที่ชักชวนให้มาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้..ขอรับ
.....
การที่เห็นผีมาสร้างบุญ...ในครั้งนั้นความรู้สึกของเกล้าฯ.แสดงว่าผีย่อมแบ่งเกรด..แบ่งอุปนิสัย..เหมือนคราวเป็นมนุษย์...คือถ้ามีศีล..แม้จะเป็นผี..ก็เป็นผีมีศีลมีธรรม...

จากเรื่องผีมาสร้างบุญนี้....ไม่ว่าใครบนโลกมนุษย์..จะทำบุญหรือไม่ก็ตามแต่ที่เมืองผี..เขาก็ยังแสวงทำบุญอยู่....
**-ต่อมา..อีกหลายปี..ได้ทำสมาธิ..ไปเที่ยว..บ้านสมาชิก เว๊บ พลังจิต..ท่านหนึ่ง.ที่ร้องขอ..ให้ไปสำรวจบ้านท่าน..ครั้งนั้นได้ไปด้วยวิชา.,ถอดกายทิพย์..ต้องตกใจ..ผีตาโบ๋...ที่กำลัง ยืน แหงนหน้า..มองบนฟ้า..,(เขาไม่เจตนาหลอก เรา แต่เพราะเขาอาย ***อ้างอิง วิชา ถอดกายทิพย์ ที่คุณ ก็ทำได้ ปฐมฌาน เขียน***จากการไปครั้งนั้น...จึงได้ถึงบางอ้อ...ว่าพี่ชาย..ผีนักบุญ...ที่มองเท่าไหร่ ไม่เห็นดวงตา...แท้จริง พี่ท่าน เป็นผี ตาโบ๋..ขอรับ

******

ชีวิตหลังความตาย
สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ ไม่เข้าและสับสนคือ...เมื่อตายแล้วไปไหน?

จากที่ได้ไปเที่ยวนรกมาได้เห็น.3 แบบ ดังนี้
1.ตายหลายปีแล้ว..แต่ไปเป็นผีนา
2.ตายแล้วไปอยู่ในนรก
3.ตายแล้วไปอยู่สวรรค์


1..ผีไร่ผีนา...วันหนึ่งได้นั่งสมาธิรักษาศีลอยู่ที่ห้องคนเดียว กลางวันก็ไปทำงาน เหมือนคนทั่วไป พอกลับเข้าห้องก็สมาทานศีล เข้าสมาธิ ทำพิธีบรวงสรวงพระยายมราช เพื่ออนุญาต 
ไปเที่ยวนรก ซึ่งทำตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คือให้ทาน ถวายดอกไม้แดง เป็นค่าครู ตามจริงอยากเห็นเฉยๆ..ว่านรกเป็นแบบไหน
อยากเห็นแบบมโนมยิทธิ...บริกรรมภาวนา..นะ มะ พะ ธะ.

วิชามโนมยิทธิของ..พระราชพรหมยานเถระ..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  แห่งวัดท่าซุง  จ.อุทัยธานี
ท่านบอกว่า..ท่านเรียนมาจาก คุณลุงขี้เมา ท่านหนึ่ง ชื่อคุณ ลุง สุข

คือ.1.ทำทาน.1 บาท..หรือมากกว่าก็ได้
2.เอาดอกไม้แดง.หนึ่งดอก...บูชาพระยายมราช..
3.ระลึกถึงพระยายมราช.

วิธีการ..พอบริกรรม...จิตได้สมาธิ..ระดับหนึ่ง..จะมีคนคอยกำกับ..บอกอารมณ์..ว่าให้ไปดูนรก..ผู้บริกรรม..ก็จะเห็นภาพ นั้น
แต่เกล้า..นำมาฝึกเองนี้..ไม่สำเร็จ...ถ้าสำเร็จแบบมโนมยิทธิ ต้องเห็นภาพปรากฎ
แต่
ปรากฎว่าเกล้าฯสำเร็จแบบอื่นคือ...ได้เห็นแบบถอดกายถอดจิตไปเลย....ทำอยู่ 2 วันจึงสำเร็จ
วันแรก...นั่งแล้ว..หัวใจเต้น.ตึก ตึก เหมือนจะหลุดออกมา..ก็กังวลว่า..หรือกายทิพย์เราจะออกแล้วหรือ...ทำไปยิ่งเหน็ดเหนื่อย..อ่อนเพลียมาก.

ที่มาของ.สาเหตุ.ไปเที่ยวหัวหินกับหมู่คณะ...เกิดแต่ไปนั่งสมาธิในห้องอบซาวด์น่า...ที่หัวหิน กับหมู่คณะที่คอนโดติดทะเล...เผอิญว่า..ทุกคนเขาร้อน..เขาก็เอาน้ำราดตัว ออกไปพัก..ค่อยกลับมาใหม่..ซึ่งตามจริงนั้นคือวิธีที่ถูกต้อง..แต่เกล้ากระผม..ไม่ศึกษาให้ดี..ยิ่งมีคนชมว่า.โหวว..ทำได้ยังไง..ไม่รู้สึกร้อนเลยหรือ..เราก็ยิ่งทำจิต..ให้ยิ่งขึ้นไป..แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ส่งผลเสีย..ต่อระบบภายในของร่างกาย...ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันจึงหายจากอาการ..อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย....
และการไปเที่ยวนรก..วันแรก..จึงไม่สำเร็จ..รู้สึกหอบเหนื่อย..หลับไปด้วยความเพลีย
วันที่ 2 ก็อฐิษฐานจิต..ทำสมาธิใหม่.
ทำสมาธิไม่นาน.จิตก็ดับพรึบ...พอดับพรึบ...ไม่ได้ไปปรากฎแดนนรกแห่งใดแห่งหนึ่ง..
แต่ไปปรากฎที่เถียงนาแห่งหนึ่ง ใกล้ทางเข้าป่าช้า..และป่าช้าแห่งนั้น..เป็นป่าช้าที่ตัวเองคุ้นเคยเพราะตอนเด็กๆติดตามพ่อแม่ไปทำนาต้องผ่านประจำ...เรียกว่าป่าช้าบ้านโคกสว่าง..
และวันนั้นเกล้ากระผมสงสัยว่า...ทางนรก..มีเหตุจะต้องไปรับดวงวิญญาณ...1 ดวงวิญวิญญาณ ที่ ป้ายวิญญาณ ทางนรก แสดงให้เห็น ว่า หมดอายุขัยแล้ว แต่ในทางโลกมนุษย์ วิญญาณดวงนี้ ตาย ไป 10 กว่าปีแล้ว ตอนเด็กๆ เกล้าฯก็เคยเห็นผู้ตาย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ...ที่เห็นก็เพราะทางไปนา..จะต้องผ่านนาท่าน ทุกๆ ครั้ง....
แต่วันที่ไปเห็นทางภาวนา...คือเห็พอภาวนาไป..จิตได้สมาธิแห่งความสงบ..และดับพรึบไป...ก็ไปเห็นคุณลุงที่เถียงนาเลย...

ณ เถียงนา..วันนั้น
พลันน!!!ได้เห็น...ชาย นุ่งกางเกงหูรูดพื้นบ้าน..เป็นกางเกงผ้าสีดำไม่สวมเสื้อผ้า.รูปร่างผอมตัดผมสั้น.นอนคุดคู้ฟุบหน้า..กับพื้นเถียงนา...นอกจากพื้นที่ว่างเปล่าแล้ว..ไม่มีที่นอนอื่นใดที่จะให้ความอบอุ่น..
แรกเริ่มที่เกล้ากระผม..ไปยืนมองบนเถียงนา...ชายผู้นั้นได้พลิกตัวเอง..กลับมาเห็นพอดี..มีอาการสะดุ้งตกใจเล็กน้อย..ที่จู่ๆก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยม..

ขณะที่ต่างฝ่าย ต่างตกตะลึง กันทั้ง 2 ฝ่าย 
ยังไม่ได้เอ่ยทักทาย อะไรกัน...ก็พลันมีชายรูปร่างซีดโทรม
คือมีชายลึกลับเป็นฝ่ายที่ 3 ปรากฎตัวขึ้น ผิวซีด ผอมเหลืองเกร็ง  ศีรษะพันกันยุ่งเหยิง ผมยาวปะกลางหลัง นุ่งผ้าเตี่ยวสีดำแบบโบราณ..ไม่ได้กล่าวทักทายผู้ใด....
พอปรากฎตัวขึ้น...ก็ส่งเสียง หัวเราะ อันกึกก้องก้องกังวาล  น่ากลัว  และไม่รู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด ท่านเดินมาด้านหลัง สักพัก ท่านก็เดินจากไป พอท่านเดินจากไป ปรากฏว่าชายที่นอนที่เถียงนา หรือคุณลุง(ไม่อยากเอ่ยชื่อจริงท่าน )นั้นได้เดินตามเจ้าของเสียงที่ทรงพลังนั้นไป โดยมีเกล้า เดิน ตามหลัง...พอทั้ง 3 เดินมาถึงทางที่จะเดินเข้าป่าช้าบ้านโคกสว่าง ประตูนรกได้เปิดออกตรงนั้น คือเดินหายเข้าไปตรงจุดนั้น ทั้ง 3 คน แต่ชายลึกลับนั้นแท้จริงแล้วเป็นนายนิรยบาล ชื่อว่าศีรษะนิรบาลหมายถึง นายนิรบาลผู้มีศีรษะเป็นอาวุธ คือหัวเราะเฉยๆ ก็นำดวงวิญญาณ..ไปพิจารณาโทษทางนรกได้...

อาจเป็นเพราะทางนรกให้เกล้าฯไปเที่ยวเล่นได้แค่นั้น...พอเข้าถึงเมืองนรกด้านนอกปุ๊บ...ชั่วแค่แว๊บเดียว..ที่เผลอมองดูสถานที่รอบตัว...หันมาอีกที ท่านศีรษะนิรบาล ก็นำผีนาคือคุณลุงท่านนั้น...เข้าไปเมืองนรกเรียบร้อย...

คือ พยายาม มองหาอย่างไร ก็ไร้วี่แวว มองไม่เห็น ไม่รู้ว่ากายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ในตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก..เพราะมองไปทางไหน..ก็มีแต่ความมืด.....
จะสว่าง..อยู่ที่เดียว...

ที่สว่างนั้น...เป็นประตูเข้าเมืองอีกชั้นหนึ่ง...และทางที่สว่างสลัวๆนั้น..ได้มีปราการใหญ่ยักษ์ขวางอยู่...คือหมายักษ์.นั่งเฝ้า.เป็นยาม...รักษา เขต แดน นั้น

และทันใดนั้นเอง..จิตตัวรู้  ได้ดังขึ้นว่า.".เราได้เดินทาง มาถึง นรก เรียบร้อย"

พอรู้ตัวว่าตนเองมาถึงถิ่นที่ตนเอง สมปรารถนา ที่จะได้พบเห็นอย่างยิ่ง 
เท่านั้นแหละ
มีอาการตื่นตะหนกแทนที่จะรู้สึก ดีใจ
กลับมีอาการ ตรง กันข้าม
คือได้ตกใจ!! จนตัวสั่น 
เมื่อรู้ว่า นี้คือมือง นรก

จึงรู้สึกหวาดกลัว หมา และดิ้นรนเพื่อจะหนี จากเมืองนรกแห่งนั้นเสียโดยเร็ว..เกรงหมายักษ์จะหันมามองเห็น 

คือกลัวหมาจะมาตะครุบเราไปเคี้ยวเล่น...จึงมีอาการเขย่าประสาทหลีกหนีไป ครั้นจะหลบหนีไปก็พลัน  ปรากฎเพลิงลุกไหม้อยู่เบื้องหน้า.เป็นกำแพงเพลิง..
แต่เพลิงลวดหนามที่ขวางอยู่ก็กลัว...
แต่กลัว ถูกหมายักษ์จับกินมากกว่า...จึงแหวกลวดหนามที่เป็นกำแพงเพลิง..หนีตาย..

วรรค

ครั้นรุ่งเช้าได้โทร..ไปสอบถามคุณพ่อที่บ้านเกิดเพราะชายที่เกล้าฯไปเห็นมาเป็นคนที่เกล้าฯเคยเห็นตั้งแต่เด็ก...แต่ไม่รู้ว่าเขาเสียชีวิตหนือยัง จึงทราบว่าชายคนดังกล่าวเป็นที่รู้จักกับคุณพ่ออย่างดี..ท่านป่วยตายด้วยโรคชรา  แต่ปัญหามีว่า บุญที่ญาติอุทิศไปให้ยังไม่ได้รับหรือ?
เหตุใด จึง เป็นผี เฝ้าไร่ เฝ้านา ทั้งที่ตาย ไป ร่วม12 ปีแล้ว

เกล้าฯจึงอธิบายว่า...บางคนตายด้วยวิบากกรมมาตัดรอน  อายุขัยยังไม่หมด ทางนรกก็ไม่รู้ เหมือนเทียนที่จุดอยู่..แต่ลมมาพัดเทียนให้ดับไป


...

2.ตายแล้วไปอยู่ในนรก



ณ  ทุ่งหินดินดาน...ละหานห้วย..
สายลมด้วย..ละอองหมอก..ซบซอกหิน..
เสียงร้ำให้...ยังถูกลบ...กลืนกลบดิน..
เหมือนทุกชีวิต..ได้แดดิ้น...สิ้นหนทาง

..เกล้าฯ..มองดู..เหมือนสถานที่มี...อิสระภาพ..
แต่โปรดทราบ..เขาถูกความเย็น..รุมเข่นฆ่า..ใครรู้บ้าง..
เกล้าฯ..ยื้อยุดฉุดกระชาก..เส้นบาง.บาง..
ในทุ่งร้าง...ทะเลกรด....ช่วยพี่ชาย
....
      .

ฉุดกระชาก..กระชาก..พี่ท่านในเหวลึก..
ทบทวนนึก..หรือไม่ลึก..นึกไม่ไหว...
น้ำครึ่งแข้ง....ออกแรงช่วย..มิทันไร..
ฉะเหนงไอ...ไฉนเอง..ไฉนพี่..มาเป็นผี.ที่นรก

โอ้พี่ท่าน...น้ำตาน้อง..ได้ไหลเหือด..
รินแห้งเผือด..เหือดแห้ง..ไม่โกหก
ช่วยเท่าใด..กายพี่ท่าน..ยังเวียนวก..
ร่างทรุดตก...จมลงห้วง...บ่วง..แรงกรรม...

พอช่วยพี่ชายไม่ได้...เกล้าฯก็คิดว่าเป็นกรรมของเขา..จึงล้มเลิก..ที่จะไปเข้าสมาธิ.ช่วยอีก.
..แต่เมื่อต้นปี 2562ครั้งเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวน..ของพี่ชายมาบวชเกล้าฯจึงไปสอนการเดินจงกรมให้พระใหม่....และเมื่อพระได้เจริญสติปัสฐาน 4 และแผ่บุญไปให้  พี่ชายจึงหลุดพ้นกรรมตรงนั้น ไปสู่สุคติ

***การไปนรกครั้งนี้....พอจิตดับพรึบ....ก็ไปปรากฎ...เชิงเขาที่เป็นหินสีหินสีดำด่าง..การไปนรกครั้งนี้..ไม่ได้ตั้งใจไป...แต่ไปตามอำนาจแห่งจิตที่เคยอฐิษฐานใว้...คือเกรงว่าพี่ชายจะไปตกนรก..เพราะตอนเด็กไปยิงนกด้วยกัน ตัวเรายิงเท่าไหร่ ก็ไม่โดนแต่พี่ชายยิงแม่น หาเลี้ยงชีพวิถี พื้นบ้านเก่ง เท่าที่จำได้เกล้าฯยิงนกตาย  ไป 2 ตัว ตัวที่ตาย แต่พี่ชายยิงตาย มากกว่านั้น

สถานที่ที่พี่ชายไปอยู่...ทีแรกคิดว่าเป็นทุ่งนา น้ำครึ่งแข้งนี้แหละ เดินลุยน้ำไป มองรอบด้านมันมีแต่ความว่างเปล่าเหมือนมีหมอกลงสลัวๆ..เดินไปสักกลางทุ่งนาคือคิดว่าเป็นทุ่งนาของตัวเองที่พี่ชายเคยทำอยู่เป็นประจำพลันได้ไปฉุดผู้ชายคนหนึ่ง..ที่จมอยู่ใต้ความเย็นนั้น ดูร่างนั้นเปื่อยหมดแล้ว..ฉุดสักเท่าไหร่ก็จมลง..ที่เดิม...จึงสิ้นกำลัง..ที่รู้ว่าเป็นพี่ชายตัวเองมาพิจารณาภายหลัง.....

เมื่อช่วยไม่ได้...จึงเดินข้ามไปยังอีกแดนหนึ่งที่เป็นป่าทึบ....
ณ  จุดนี้  เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ได้ยืนกอดอกหันหลังให้....
ขณะที่แลเห็น...
ว่าจะเดินหลีกหนีไป....ชายผู้นั้น..ได้วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางอันดุดัน ราวกับว่า มีเรื่องโกรธเคืองกันแต่ปางไหน....
ชายผู้นั้น สวมกำไลมือ 2 ข้าง กำไล ขา 2 ข้าง ใส่ผ้ามัดเตี่ยวสีดำ  ผิวเนียนเหมือนผิวเด็กอ่อน  แต่หน้าตาเหมือนชายชาตินักรบ  พูดจาห้าวหาญ ดุดัน ตะโกนด้วยเสียง อันดัง

 ***ว่ามาเจอกันแล้ว  ไม่เห็นทักกันบ้างเลย***

เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงที่ทรงพลังอำนาจเกินไป แม้เจ้าของเสียงมิได้ประสงค์ร้าย แต่คนที่ได้ยิน ก็ครั่นคร่าม หวั่นไหว  ท่านคือท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านมาปกปักรักษา เพราะการไปนรก ในเขตลึกได้ต้องมีเทวดา ตามรักษามิฉะนั้น สติของเราก็จะเกิดรู้ว่า..
เรามาถึง นรกแล้ว..
เหมือนไปครั้งก่อน..
แทนที่จะได้เที่ยวเมืองนรก..ก็จะผวา..หนีกลับ..มาเร็วเกินไป...เพราะเหตุนี้..ทางท่านเวสสุวรรณ ที่เคยทำบุญแล้วแผ่ให้ท่านบ่อยๆ ท่านสงสาร ที่ไปเองแล้ว ไม่ประสบผลสำเร็จ ยังไม่ได้เห็นอะไร..ท่านจึงส่งเสียงให้ตกใจ...ทำให้จิตสงบที่จะเผลอออกรับรู้..ความเป็นไปในสถานที่..ไม่สามารถรับรู้ได้..ว่าตนเองมาเยือนที่ใด

เมื่อได้ยินเสียงพ่อเวสสุวรรณ  ก็ตกใจ ภาวนาให้จิตอยู่กับองค์ภาวนา..ที่ใช้ภาวนาประจำ แล้วก็หลีกไป...ให้ไวที่สุด....

จนหลุดจากป่านั้น มายังแดนหนึ่ง ที่มีผู้คนเข้าแถวเป็นระเบียบเป็นแถวยาว...มีผู้คนที่จังหวัดสิงห์บุรี เข้ามาทักเพราะเขาคิดว่าเป็นญาติแต่เราไม่รู้ ได้แต่ งง เมื่อเห็นเขาเข้าแถว จึงเดินไปต่อขบวนแถวด้วย

...หารู้ไม่..สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่  ชั่งบาปบุญมนุษย์  เพื่อนำตัวไปลงโทษ หรือ ไปเกิด ตามอำนาจ กรรมที่เกิดจาก ตัวเองกระทำมา

ผู้ตรวจบุญบาป หรือ ผู้พิพากษาตัดสืน มีอยู่ 2 ท่าน ...พอถึงเกล้ากระผม  ท่านผู้ตรวจสอบตัดสินบุญบาป  ท่านหนึ่ง กล่าวว่า

***ท่านต้องไปตึก โน้น  พอท่านพยายม กล่าวเช่นนั้น เกล้ากระผมก็มองไปด้านหน้า  เห็นตึกหลังหนึ่ง ที่มีจั่วด้านหน้า เป็น นกยุง กำลังขนดกายอยู่ เหนือวิหาร เหมือนโบสถ์ทรง จีน ที่วัดโพธิ์ กรุงเทพ 
 กำลังจะก้าวไป...พลันน..ท่านพยายม ทั้งสอง
ได้แสดง อากัปกริยา ตื่นตะหนก ตกใจ  
แล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า

** *ท่านเข้าไปในนรกไม่ได้ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ***

ฝ่ายเกล้าฯก็งง จึงเอ่ยถามแก่ท่านพระยายมราชทั้ง 2 ว่ารู้ได้ยังไง?

ฝ่ายพระยายมราชหรือจ่ายมบาล ไม่กล่าวอะไร แต่ได้ชี้มือมายังมือขวา ของเกล้ากระผม...

พลันน!!!ปรากฎขวดแก้วใส ขนาดใหญ่บรรจุ พระพุทธรูปองค์ขนาด สีสว่างใส มีจำนวนนับไม่ได้อัดแน่นในขวด..นั้น

เมื่อได้เห็นดังนั่นจึง ตกตะลึง จิตก็เดินทางกลับมาที่ห้อง

3.ตายแล้วไปอยู่สวรรค์

วันนี้ วันที่ 30 พฤษภาคม 2563 
ในการไปสวรรค์นั่นเคยไปมาก่อนหน้านั้น แต่ไม่เกี่ยวด้วยเหตุการตาย เป็นแต่เพียงไปกราบหลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า ณ ที่สถานที่หลวงปู่ศุข ท่านจำพรรษาอยู่นั่น เป็นพรหมชั้นสุทธาวาส เป็นพระอนาคามี มิได้กลับมาเกิดอีกแล้วในโลกมนุษย์ ตามคัมภีร์ไตรภูมิกล่าวว่า สามารถทำจิต ให้บรรลุในชั้นนี้ได้ เลย
ด้วยเหตุนี้..ที่เกล้ากระผม..เคยนำรูปหลวงปู่ศุข มาลงไว้ที่หน้าเรือนธรรม แห่งนี้ ในหลายปีก่อน***ที่กล่าวว่า..มาลงไว้เพราะเคารพเฉยๆ**แท้จริงแล้ว..เคยไปกราบมา..สภานที่ที่ท่านอยู่..ลอยอยู่บนทิพย์อากาศ มองลงเบื้องล่าง ยังเห็นเมืองนรก ที่มีนายนิรยบาล นุ่งเตี่ยวแดง  ถือหอก ไล่แทงสัตว์นรก ผู้ชอบฆ่าสัตว์ ล่าสัตว์  พอตายไปก็จะถูกนายนิรยบาล ที่นั้นล่าชีวิต  ชีวิตของสัตว์นรกที่นั้น จะวิ่งหนีตายด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด มิตายได้โดยง่ายต้องถูกล่า ถูกแล่เนื้อ เถือหนังเสียก่อน


การตายแล้ว..ไม่ไปเมืองนรกเลยจะมีจริงหรือ?
อันนี้..เกิดจากเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ปี 63 นี้แหละ..เรื่องที่เล่านี้เกิดแต่มีวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมาราวตี ไหนไม่รู้ เห็นฟ้ายังมืด  แต่ไม่ง่วง จึงสวดมนต์ภาวนา จิต จนเกิดสมาธิ แล้วดับพรึบไป ได้ไปเห็น การเดินทาง ไปยังอีก ภพหนึ่ง ของสามเณร หลานชาย ซึ่งในการเดินทางไปครั้งนี้..
เดินทางไปแบบมิมีวันหวนกลับมาสู่ครอบครัวอีกแล้ว  เพราะรุ่งสาง เกล้าฯได้ทราบข่าวว่าหลานสามเณร ได้ประสบอุบัติเหตุ หกล้มเพราะเร่งรีบเกินไป  เหมือนกับว่า การตายของหลานสามเณร จะตายแบบ หมดอายุขัย พร้อมๆกับวิบากกรรมด้วย..

แม้จะอายุยังน้อย..ก็หมดอายุขัยได้  เพราะสามเณรอธิษฐานจิต มาเกิดแค่นั้น

คือไฟเทียนก็ดับ  ใส้เทียน ก็ดับพร้อมๆกับลมมาพัดให้ดับคือวิบากกรรม    

***ในคืนนั้น..เมื่อจิตเกล้ากระผมดับพรึบ...ก็ออกท่องเที่ยวไปยังสถานที่เกิดเหตุ....เมื่อสามเณรมองเห็นเกล้ากระผม...ก็เอาสิ่งของมายื่นให้..แต่มองไม่ออกว่าหลานสามเณรให้สิ่งใด.

***แต่สิ่งของที่รับจากหลานสามเณร  ได้ร่วงกราวหล่นจากมือลงเต็มพื้น...กลายเป็นใบไม้ทั้งหมด....

ขณะที่กำลีงตกตะลึงจากสิ่งของที่ได้รับจากหลาน..ก็มีสามเณรรูปหนึ่ง ไม่รู้มาจากที่ใดมาปรากฎ มายืนเรียกท่านเณรหลาน  ซึ่งหลานสามเณร ก็รู้สึกดีใจ..
ว่าเพื่อนมาเรียก....
ก็รีบวิ่งตามสามเณรเพื่อนไป...โดยไม่สนใจลุงคือเกล้ากระผมเลย

วรรค..***หลวงพ่อวิริยังค์ท่าน..กล่าวว่า...จิตที่เดินทางไกล..แล้วมีเพื่อน..ร่วมเดินทาง...ท่านเรียกว่า..ตัวบุญกุศล(อ้างอิงประสบการณ์ประวัติหลวงพ่อวิริยังค์.สิรินธโร วัดธรรมมงคล.)

..ฝ่ายเกล้าฯก็เกรงหลานจะกลับวัดไม่ได้เกรงหลานจะกลัวผี.....แต่แท้จริงหลานก็เป็นผีนั้นแหละ...แต่ตอนนั้นมีความเร่งรีบมากเกรง จะตามหลานไม่ทัน ก็ไม่ได้พิจารณาว่า หลานตายหรือยัง
สามเณรทั้งสอง วิ่งไป อย่างคล่องแคล่ว กระโดดลงหน้าผาสูงชันลงไปอย่างไม่กลัวต่อความตาย...

เกล้าฯวิ่งตามมาถึงหน้าผา ก็รีรอ  ค่อยๆไต่คลาน ลงเบื้องล่าง...พอผ่านจุดนี้ได้มองเห็นนายนิรยบาลที่มีเขาเหมือนควาย ผู้มีหน้าที่..มาเรียกเก็บวิญญาณสามเณร..มองดูสามเณร เดินทางไปกับสามเณรอีกรูปหนึ่ง...แต่ไม่กล่าวอะไร  อาจเป็นเพราะบุญของสามเณร...มากก็บาปก็ได้  จึงไม่ต้อง ไปชั่งบุญบาป ในนรก ว่า หนักบุญ หรือหนักบาป
ที่เป็นนายนิรยบาล เขาควาย มาเก็บวิญญาณ  น่าจะเกิดจากครอบครัวหลานสามเณร มีอาชีพค้า เนื้อสัตว์ วัว ควาย ขาย แต่บุญกุศลเดิม และบุญกุศล ที่ได้บวช  ทำให้ท่านศีรษะโคนิรยบาล  เกิดหลงลืม นั่งงง

เกล้าฯมองเห็นก๋ได้แต่ สงสัย ว่าทำไม ท่านผู้นี้ จึงต้องมีเขาเหมือนวัวควาย ด้วยหนอ แต่ด้วยความเร่งรีบ เกรงจะ ตาม หลานไม่ทัน..จึงผละจากไป อย่างเร่งรีบ..และในหนทางที่สามเณร เดินทางไปนั้น  ยิ่งวิ่งไปยิ่งมืด  สักพักในความมืดสลัวๆนั้น เห็นพระภิกษุ รูปหนึ่ง ยืนอยู่ข้างทาง..นึกว่าถึงวัดของสามเณรแล้ว จึงร้องถามสามเณรว่า

"ถึงวัดหรือยังสามเณร**"

สามเณรตอบมาว่า  ยังไม่ถึง...ว่าแล้ว สองสามเณร ก็มุ่งไปข้างหน้า จาก มืดสลัวๆ จน มืดสนิท  กระผมตกใจที่เห็นหนทางมืดมิดจึงตะโกนว่า 
""สามเณร ให้ท่อง นะ เมตตา โม กรุณา**
พอสิ้นเสียงตะโกน บอก ก็พลันทางที่มืดสนิทเปลี่ยนเป็นทางสว่างเหมือนตอนรุ่งอรุณ มีหมอกจับหญ้าเต็มไปหมด..และพื้นที่เดินไปนั้น ..เป็นทุ่งโล่ง..เหมือนสนามฟุตบอล แต่จะมีรอยขีดเป็นทางขนาดเท่าคนเดิน...ให้รู้ทิศทาง คล้ายมีป้ายบอก..ว่าจะต้องเดินไปทางไหน..

พอสามเณรทั้งสอง เห็นทุ่งโล่ง ก็วิ่งนำหน้า..เกรงจะไม่ทันจึงรีบวิ่งตาม...เขาไปยังทางคับแคบแทบไม่รู้ว่า นี้คือทาง...เพราะเป็นทางรกร้างมีหญ้าสูงท่วมหัว...
คือสิ้นทางโล่ง..คือทางป่าหญ้าทึบต้นหญ้านี้ ขนาดเท่าลำหญ้าเนเปียร์ในโลกมนุษย์...หญ้าเนเปียร์ที่เขาปลูกไว้เลี้ยงวัวควาย ในอุตสาหกรรมเกษตรปศุสัตว์....เมื่อพ้นกลุ่มหญ้าเนเปียร์...จึงมีสะพานไต่ข้าม...
และสพานนั้น..เป็นสะพานธรรมชาติอันเกิดจากมีไม้ล้มจากฟากหนึ่ง..ไปสู่อีกฟากหนึ่ง...ทุกๆคนที่ข้าม..มีมากมาย แต่ละคนต่างเร่งรีบ..ไม่มีการพูดคุยกัน...

และแล้วความหวั่นใจว่าตัวเรา จะข้าม สะพานไม้ล้มนี้ได้ไหมหนอ..ทำไมคับแคบจังเลย..ก็มลายสิ้นไป..เมื่อย่างเหยียบ..ลงลานวิหาร เมืองทิพย์ อีกด้าน..
และการพลัดหลงจากสามเณรทั้งสอง ที่ทุ่งหญ้าเนเปียร์..และสะพานไม้ล้มก็หาหลานไม่เจอ....
มาเจอหลานสามเณรและเพื่อน..อีกที ที่เมืองทิพย์ ที่สะอาดเรียบร้อย...น่าจะเป็นประตูสรรค์...

ณ จุดนี้เอง มีต้นไม้ทิพย์เกิดขึ้น ในวิมานแห่งนี้...เมื่อทั้งสองสามเณร..เก็บกินองุ่น และแอปเปิ้ล..หรืออยากกินผลไม้อะไร.ก็จะบังเกิดตามความนึกคิด..พลันน!!!
สามเณรทั้งสอง ได้เปลี่ยนร่างเป็นมานพหนุ่ม ผู้รูปงามทั้งสอง ตามปกติในโลกมนุษย์สามเณรก็กำลังเป็นวัยรุ่น และเป็นคนหน้าตาน
รูปงาม สืบเนื่องแต่พ่อและแม่ก็เป็นคนรูปงาม....
แต่เท่าที่มองเห็นรูปงามกว่าในโลกมนุษย์เป็นอันมาก...ผลไม้ที่สามเณรกินนั้น..เป็นผลไม้ให้ลืมภพชาติ หนหลัง..
...
เกล้าฯเห็น มานพทั้งสองกิน ก็ได้ยืนคอยอยู่..มองดูโดยรอบ..มันเงียบ เห็นแต่ตึกราง บ้านช่อง สวยงาม ชั่วแค่พริบตา..หลานสามเณรลืมลุงผู้มาส่งแล้ว...เพราะกินผลไม้ทิพย์..ก็จำไม่ได้แล้วว่าเกล้ากระผมเป็นใคร...
จึงพากันวิ่งหนีเตลิดไปกับเพื่อน...เข้าเมืองทิพย์ไป...เกล้าฯเกรงจะไม่ทันเพราะเห็นหลังหลัดๆ..จึงวิ่งเร็วแต่ก็มีชายชกรรก์ท่านหนึ่งมาชวนคุย..หยอกล้อ..ถ่วงเวลา...

ครั้นหลาน เข้าเมืองทิพย์ลึกเข้าไปอีก..เกล้าฯก็นึกได้ว่ามาส่งหลาน..จึงวิ่งผละจากชายผู้นั้น..วิ่งตามหลานอีก..สถานที่อยู่ล้วนแต่ สวยงาม..กำลังจะติดตามเข้าไปอีก..ได้ยินแต่เสียงแหวกอากาศ..ของผู้มีอำนาจ..ของที่นั้นว่า..
***สามเณรได้มาถึงวัดเรียบร้อยแล้ว***
จิตของเกล้ากระผมก็เดินทางกลับเข้าร่าง......
หลังจากนั้น...ได้นั่งทบทวน...ในสิ่งที่ได้ไปพบไปเห็น...แบบละเอียด....และตอนเช้านั้นเอง..ญาติผู้ใหญ่ได้แจ้งข่าว..การเสียชีวิต..ของหลานสามเณร..ที่ได้เกิดอุบัติเหตุคือรีบวิ่ง.แล้วเกิดหกล้มถึงแก่มรณะ.

***เกล้าฯได้เล่า เรื่องราวให้ญาติผู้ใหญ่ ได้รับรู้..ซึ่งท่าน ก็ เชื่อถือ..
โดยเกล้าฯ บอกว่าเมื่อคืนได้ฝัน..เห็น .การเดินทาง..ของหลานสามเณร..ไปเกิด ณ ที่แห่งใหม่...เป็นสุคติภูมิ..เรียบร้อยแล้ว.***.

เรื่องความรู้ความเห็นแบบนี้...คือตามไปดูการจุติ..ของดวงวิญญาณอื่น...กราบเรียนตามตรง...มีญาติหลายคนแล้ว...ที่ล้มหายตายจาก....เกล้าฯก็ไม่เคย..ตามไปส่ง..และรู้เห็นใดๆ เลย..,ท่านสามเณรหลาน.,,จึงเป็นครั้งแรก...และครั้งเดียว เท่านั้น ขอรับ

***คำโบราณอีสาน กล่าวว่า ไปสรรค์ให้ไปทางฮก(รก)ไปนรก ให้ไปทางแปน(ทางโล่ง)

 โดยส่วนตัวที่ไปมาก็ไม่ขออธิบาย...อย่างเช่นไปหาหลวงปู่ศุข เกสโร นี้ กระโดดหน้าต่างอพาทเม้น มองเห็นริ้วขี้เมฆ..ของกรุงเทพ เป็นลดหลั่นกันไป แล้วเหาะ..พุ่งขึ้นไปอีกนาน จึงจะถึงกุฎีท่าน.....

สวรรค์ นรก อยู่ที่ใด กล่าวได้เพียงว่าเป็นเมืองทิพย์ และประตูเข้าเมืองนรกที่ค้นพบแห่งหนึ่ง  คือทางเข้าป่าช้า บ้านโคกสว่าง จ.บึงกาฬ



***โปรดใช้วิจารณญาน..ในการอ่าน




อสุราเสนานาค...เรียบเรียง



ทีม..ผู้ร่วมเดินทางไปเผยแพร่ธรรม..ที่จังหวัดบึงกาฬ
..
ก่อนกลับกรุงเทพฯ..ได้ไปส่งพระเถระ..ที่วัดป่าหนองผักแว่น...
ตามภาพ..กำลังกระทำพิธี...เปิดป่าช้า...
ขออนุญาตสำรวจ..ที่ฝังศพ.ในป่าช้าโบราณ...หลายร้อยปี....

ไม่มีความคิดเห็น: